เห็ดไค (เห็ดตะไคร)
เห็ดไค มีลักษณะ คล้ายเห็ดก่อ ดอกใหญ่แข็งและกรอบ มีสีขาวปนเทา เวลาย่างจะมีกลิ่นหอม ชอบขึ้นตามป่าที่เปียกชื่นเวลาฝนตกใหม่ๆแหล่งธรรมชาติชุมชนท้องถิ่นต่างๆส่วนมากทางภาคอีสาน ภาคเหนือ เห็ดไคส่วนมากนิยมมาประกอบอาหารทางอีสานเรียกว่า เห็ดไค ทางเหนือเรียกเห็ดหล่ม ทางภาคกลางเรียกเห็ดตะไคร เป็นสิ่งเกิดโดยธรรมชาิติคนท้องถิ่นเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะแก้โรคต่างๆได้มากมายตามความเชื่อของคนโบราณซึ่งได้ชืบทอดกันมา
ฤดูกาล :
ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
แหล่งปลูก :
เห็ดตะไคลพบได้ท้องถิ่นตามธรรมชาติ บริเวณหนองน้ำ ป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง แถบภาคอีสาน เหนือ
การกิน :
เห็ดตะไครมีกลิ่นหอม เนื้อแน่นกรอบ รสออกหวานนิดๆ นำไปย่างจิ้มน้ำพริก ยำเห็ด ต้มยำเห็ด แจ่วเห็ดตะไคร หรือผัดเห็ดตะไคร
ลักษณะทางพฤกษศาตร์:
ดอกเห็ดอ่อนสีขาวนวล ผิวหมวกเห็ดเรียบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-15 ซม. เมื่อบานรูปร่างคล้ายกรวย ตรงกลางหมวกเว้าลงเล็กน้อย สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเนื้อ เนื้อหมวกหนาด้านล่างหมวกมีครีบเรียงกันเป็นรัศมี ก้านดอกมีลักษณะกลมใหญ่ โคนก้านดอกเรียวเล็กกว่าด้านบนเล็กน้อย ผิวด้านนอกสีขาวนวลและเรียบ เมื่อกระทบแสงไฟในตอนกลางคืนจะเรืองแสง
สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของชุมชน สิ่งจักสาน พืช สัตว์ ความปลอดภัย การพัฒนาท้องถิ่น จ.อุบลฯ
Saturday, May 29, 2010
Saturday, May 22, 2010
ดอกกระเจียว

ชื่อ กระเจียว
ชื่ออื่น กระเจียวแดง ดอกกระเจียว ดอกอีเจียว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma aeruqinosa Roxb.
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกมีเหง้าในดิน ใบคล้ายใบพาย ออกดอกพร้อมกับใบโคน ช่อมีกาบซ้อนอยู่มาก ออกดอกสี เหลืองปนขาว กาบดอกตอนบนสีม่วงแดง ออกดอกปีละครั้งช่วงเดือนเมษายน - เดือนกรกฎาคม ฤดูแล้งต้น จะโทรม พอฤดูฝนหน่อจะแทงออกมา
แหล่งที่พบ พบทั่วไปในป่าโปร่งตามโคกหรือใต้ร่มไม้ใหญ่ บริเวณหัวไร่ปลายนา ในภาคเหนือและภาคอีสาน
ความสัมพันธ์กับชุมชน ชาวบ้านรับประทานกระเจียวเป็นผัก ส่วนที่เป็นผัก ได้แก่ หน่ออ่อน ดอกอ่อนและดอกแก่ กระเจียว สามารถบริโภคได้ทั้งสดและดอกรับประทานกับลาบ ก้อย ส้มตำ ดอกอ่อนลวกมักรับประทานกับน้ำพริก หรือ นำมาแกงได้ บางบ้านเก็บกระเจียวจากป่าธรรมชาติมาเพื่อจำหน่ายและรับประทานเอง ดอกอ่อนหัวอ่อนของ กระเจียวแดงรสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ต้มกับน้ำมีสรรพคุณขับลม
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านมีรายได้จากการเก็บดอกกระเจียวมาจำหน่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนทำให้มีรายได้เสริมเป็นพืชทางเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น
Labels:
บทความ
Thursday, May 13, 2010
ดอกแคป่า
แคป่าเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ใบประกอบแบบขนนก 3-4 คู่ ใบย่อยรูปไข่รี หรือเรียวแหลมยาว โคนเบี้ยว ดอกคล้ายรูปแตร ปลายบาน 5 กลีบ ขอบใบหยักไปมา ออกเป็นช่อตั้งที่ปลายยอด สีนวล กลิ่นหอม ฝักกลมยาวประมาณ 15-40 ซม. ช่อละ 3-4 ฝัก เมล็ดมีปีก เกิดตามริมน้ำ ลำธาร ป่าโปร่ง ท้องทุ่งนา ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติหาดูได้ตามท้องถิ่น
ประโยชน์
ประโยชน์
|
Labels:
บทความ
Sunday, May 2, 2010
แมลงกินูน
แมลงกินูนมีด้วยกันหลายประเภท ซึ่งแตกต่างกันไปตามสีของลำตัว แมลงกินูนหม่นเป็นแมลงปีกแข็งขนาดกลาง รูปร่างป้อม หนวดเป็นรูปใบไม้ มีขนปกคลุมเล็กน้อย ส่วนหัว อก ขา มีสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีช็อคโกแลต ส่วนปีกมีสีน้ำตาลอ่อนกว่า และไม่ค่อยเป็นมัน ปีกคลุมส่วนท้องแต่ไม่ปกคลุมไปถึงท้องปล้องสุดท้าย อกปล้องที่ 2 มีขนยาวปกคลุมเห็นได้ชัดเจน ขนาดลำตัวยาวประมาณ 22-25 มิลลิเมตร ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Holotrichia sp.
แหล่งที่พบ
แมลงกินูนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในดินตามรากของต้นไม้โดยขุดรูทำเป็นที่อาศัย ลักษณะของรูกินูนมีขุยเหมือนกัน แต่ลักษณะขุยจะไม่กลบปากรูเหมือนแมลงในดินประเภทอื่น ขุยจะวางกองรอบๆ ปากรู แมลงกินูนสามารถทำลายพืชที่อยู่ในดินได้มาก ตัวเต็มวัยหลบซ่อนตัวอยู่ตามกองใบไม้ และอยู่ในรูเวลากลางวัน ในเวลากลางคืนจะขึ้นมาอยู่บนต้นไม้หลายชนิด เช่น ต้นผักติ้ว ต้นส้มเสี้ยวและต้นไม้ใหญ่อื่นๆ ทั่วไป โดยอาศัยใบอ่อนเป็นอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้วจะลงไปอยู่ในรูเพื่อหลบแดดในตอนกลางวัน
ประโยชน์และความสำคัญ เมื่อได้แมลงกินูนมาต้องล้างทำความสะอาด แกะส่วนปีกและขาอ่อนก่อน สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท เช่น ก้อย คั่ว ป่น ทอด จี่ แกง เมี่ยง และยำดิบกับมะม่วง
แหล่งที่พบ
แมลงกินูนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในดินตามรากของต้นไม้โดยขุดรูทำเป็นที่อาศัย ลักษณะของรูกินูนมีขุยเหมือนกัน แต่ลักษณะขุยจะไม่กลบปากรูเหมือนแมลงในดินประเภทอื่น ขุยจะวางกองรอบๆ ปากรู แมลงกินูนสามารถทำลายพืชที่อยู่ในดินได้มาก ตัวเต็มวัยหลบซ่อนตัวอยู่ตามกองใบไม้ และอยู่ในรูเวลากลางวัน ในเวลากลางคืนจะขึ้นมาอยู่บนต้นไม้หลายชนิด เช่น ต้นผักติ้ว ต้นส้มเสี้ยวและต้นไม้ใหญ่อื่นๆ ทั่วไป โดยอาศัยใบอ่อนเป็นอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้วจะลงไปอยู่ในรูเพื่อหลบแดดในตอนกลางวัน
ประโยชน์และความสำคัญ เมื่อได้แมลงกินูนมาต้องล้างทำความสะอาด แกะส่วนปีกและขาอ่อนก่อน สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท เช่น ก้อย คั่ว ป่น ทอด จี่ แกง เมี่ยง และยำดิบกับมะม่วง
Labels:
สิ่งเกิดโดยธรรมชาติ
Subscribe to:
Posts (Atom)